วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557
การอนุรักษ์ต้นน้ำ ลำธาร
พื้นที่ต้นน้ำลำธารเป็นแหล่งผลิตน้ำให้แก่ลำธาร ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยภูเขา หรือเนินสูง ที่มีความลาดชันค่อนข้างมาก สำหรับพื้นที่ต้นน้ำลำธารซึ่งปกคลุมด้วยสภาพป่าไม้ตามธรรมชาติ ที่มีความสมบูรณ์ ป่าไม้จะช่วยป้องกันน้ำฝนขณะฝนตก มิให้กัดเซาะชะพาดินผิวหน้า และช่วยรักษาความสมบูรณ์ และความชุ่มชื้น มิให้เสื่อมสูญไป ส่วนเศษไม้ ใบไม้ ที่ทับถมผุพังอยู่บนผิวดินนั้น ก็จะช่วยดูดซับน้ำฝน ทำให้น้ำมีโอกาสไหลซึมลงไปเก็บสะสมอยู่ในดินได้มาก แล้วจึงค่อยไหลระบายออกจากดิน ลงสู่ลำธาร และลำห้วยอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา ดังนั้น ป่าไม้จึงมีความสำคัญ ที่ช่วยให้ลำน้ำลำธารมีน้ำไหลตลอดทั้งปี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยในการอนุรักษ์ต้นน้ำลำธารอย่างยิ่ง ในระยะแรกที่เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ในภาคเหนือ เฉพาะอย่างยิ่งตามบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ซึ่งหลายแห่งเป็นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทำมาหากินของชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริที่สำคัญ ได้แก่ การหาทางยับยั้งราษฎรชาวไทยภูเขา ไม่ให้บุกรุกทำลายป่าบนภูเขา ซึ่งเป็นต้นน้ำลำธารเป็นอันดับแรก โดยเร่งด่วน ด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า ปัญหาที่ราษฎรชาวไทยภูเขาจำนวนมากบุกรุกทำลายป่าตามยอดเขาต้นน้ำลำธาร เพื่อนำพื้นที่มาทำไร่เลื่อนลอย หรือปลูกฝิ่นนั้น นอกจากจะเป็นการผิดกฎหมายแล้ว การกระทำดังกล่าว ยังเป็นสาเหตุสำคัญต่อการทำลายป่า ในบริเวณที่เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำลำธารด้วย ถ้าหากไม่หาทางหยุดยั้งให้ได้แล้ว ผลเสียหายอาจเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม ในอนาคตอย่างประมาณมิได้ ด้วยเหตุนี้ ใน พ.ศ. ๒๕๑๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานพระราชดำริ ให้จัดตั้งโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาขึ้น หรือเรียกว่า "โครงการหลวง" ในระยะต่อมา โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ เพื่อที่จะให้ชาวไทยภูเขาได้ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินอย่างถาวรเป็นหลักแหล่ง ส่งเสริมให้ปลูกผลไม้เมืองหนาว และพืชเมืองหนาวต่างๆ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น และการทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งจะมีผลช่วยในการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำลำธาร ให้พ้นจากความเสื่อมโทรมได้ ดังกระแสพระราชดำรัสมีความตอนหนึ่งว่า
"เรื่องที่ช่วยชาวเขา และโครงการชาวเขานั้น มีประโยชน์โดยตรงกับชาวเขา เพื่อที่จะส่งเสริม และสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น... ผลอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสำคัญมากก็คือ ชาวเขา ตามที่รู้ เป็นผู้ที่ทำการเพาะปลูก ที่อาจทำให้บ้านเมืองเราไปสู่หายนะได้ โดยที่ถางป่าและปลูก โดยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ถ้าพวกเราทุกคนไปช่วยเขา ก็เท่ากับช่วยบ้านเมืองให้มีความดี ความอยู่ดีกินดี และปลอดภัยได้อีกทั้งประเทศ เพราะว่า ถ้าเราสามารถทำโครงการนี้ให้สำเร็จ ให้ชาวเขาอยู่เป็นหลักแหล่ง สามารถที่จะมีการกินดีอยู่ดีพอสมควร และสนับสนุนนโยบายที่จะรักษาป่าไม้ รักษาดิน ให้เป็นประโยชน์ต่อไป ประโยชน์อันนี้จะยั่งยืนมาก"
การจัดตั้งโครงการหลวงในภาคเหนือดังกล่าว จึงเป็นการเริ่มงานอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร ตามพระราชดำริขึ้น ในภาคเหนืออย่างจริงจังเป็นครั้งแรก จนถึงปัจจุบัน ได้มีการดำเนินงานกระจายไปทั่วภูมิภาคนี้ และอีกหลายแห่งในภาคอื่นด้วย โดยมีรายละเอียดด้านวิชาการที่สำคัญดังต่อไปนี้
พื้นที่ลุ่มน้ำและพื้นที่ต้นน้ำลำธาร
พื้นที่ลุ่มน้ำ หมายถึง บริเวณพื้นที่ ซึ่งครอบคลุมลำน้ำธรรมชาติตอนใดตอนหนึ่ง เหนือจุดที่ได้กำหนดในลำน้ำนั้นๆ ทำหน้าที่เป็นแหล่งรวมน้ำ ทั้งที่ไหลมาบนผิวดิ นและที่ซึมออกจากดิน ให้ระบายลงสู่ลำน้ำ และไหลไปยังจุดที่กำหนด พื้นที่ลุ่มน้ำจึงเปรียบเสมือนหลังคาบ้านที่รองรับน้ำฝน และลำเลียงน้ำลงสู่รางน้ำ เพื่อให้น้ำไหลลงสู่ภาชนะเก็บกัก ตัวอย่างเช่น พื้นที่ลุ่มน้ำ เหนือเขื่อนภูมิพล ก็คือพื้นที่ลุ่มน้ำของแม่น้ำปิง เหนือจุด หรือตำแหน่งที่สร้างเขื่อนภูมิพล รวมพื้นที่ประมาณ ๒๖,๓๙๐ ตารางกิโลเมตร เมื่อมีฝนตกภายในพื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าว น้ำที่ไหลอยู่บนผิวดิน รวมกับน้ำที่ไหลซึมออกจากดิน ก็จะไหลลงลำธาร แล้วไหลลงสู่แม่น้ำปิง ไปยังอ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล
แผนที่แสดงพื้นที่ลุ่มน้ำของน้ำแม่เปา อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
สำหรับพื้นที่บริเวณซึ่งอยู่ทางตอนบนของลุ่มน้ำ เรานิยมเรียกกันว่า "พื้นที่ต้นน้ำลำธาร" ซึ่งหมายถึง พื้นที่ลุ่มน้ำบริเวณที่เป็นแหล่งกำเนิดของลำธาร อันมีขอบเขตจากแนวสันปันน้ำลงมา จนถึงบริเวณที่เริ่มมีน้ำไหลในลำธารนั้นๆ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ป่าเบญจพรรณเสื่อมโทรม ความสัมพันธ์ระหว่างป่าไม้ ดิน และน้ำในบริเวณต้นน้ำลำธาร
ในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ป่าไม้ ดิน และน้ำ ถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็น ต้องมีความสมดุล และมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด หากทรัพยากรดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่งถูกทำลายสูญเสียไป ความสมดุลระหว่างกันที่มีอยู่ ย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลง และอาจทำให้พื้นที่ต้นน้ำลำธารนั้น เสื่อมความอุดมสมบูรณ์ลงอย่างรวดเร็ว เช่น การบุกรุกแผ้วถางป่าไม้อันเป็นทรัพยากรหลักในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร เป็นเหตุให้ผิวดินขาดสิ่งปกคลุม ในการช่วยรักษาความชุ่มชื้น และช่วยดูดซึมน้ำ ซึ่งจะมีผลให้เกิดน้ำไหลบ่าไปบนผิวดินอย่างรวดเร็ว จนกัดเซาะพังทลายดินผิวหน้าให้เสื่อมคุณภาพ และอาจเกิดปัญหาน้ำท่วมอย่างฉับพลัน ในบริเวณพื้นที่ราบทางตอนล่างตอนช่วงฤดูฝน หากในฤดูแล้ง ลำน้ำลำธารเหล่านั้น กลับขาดแคลนน้ำใช้ แม้เพียงเพื่อการอุปโภคบริโภคสำหรับประชาชน ตามที่ปรากฏให้เห็นในทุกภาคของประเทศไทยในปัจจุบัน
๑. ป่าไม้ทำหน้าที่อนุรักษ์ดินและน้ำ
ป่าไม้ หมายถึง พันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ ที่มีการเจริญเติบโต รวมอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน หากในพื้นที่บริเวณต้นน้ำลำธารมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นแล้ว สภาพเช่นนี้จะมีอิทธิพลต่อสภาพดินฟ้าอากาศ และสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธารดังกล่าว ป่าไม้ในประเทศไทยมีอยู่หลายประเภท ทั้งป่าดงดิบ และป่าไม้ผลัดใบ
๒. ดินเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติ
ดิน เกิดจากการแตกสลายผุพังของหิน โดยกระบวนการธรรมชาติ ในด้านการเกษตร ดินจะเป็นวัตถุบนผิวโลกที่มีประโยชน์ในการค้ำจุนพืช เป็นตัวกลางที่พืชใช้สำหรับยึดลำต้น และเป็นแหล่งน้ำแหล่งอาหาร ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโต และการแพร่กระจายของพืชพันธุ์ต่างๆ
๓. น้ำในลำธาร
ลำธาร เป็นแหล่งรวบรวมน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งไหลมาจากที่ต่างๆ น้ำในลำธารส่วนใหญ่จะเกิดจากน้ำที่ไหลมาบนผิวดิน และบางส่วนซึมออกมาจากดิน เรียกว่า "น้ำท่า" โดยปริมาณ และสภาพน้ำท่าที่ไหลในลำน้ำธรรมชาติตามฤดูกาลต่างๆ จะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการ
วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วิศวกรรม จุฬาฯ แนะ 8 ขั้นตอน จัดการปัญหาน้ำมันรั่วที่ระยอง
วิศวกรรม จุฬาฯ แนะ 8 ขั้นตอน จัดการปัญหาน้ำมันรั่วที่ระยอง
โพสต์เมื่อ : 31 กรกฎาคม 2556 เวลา 14:19:16


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะแนวทางแก้ปัญหาน้ำมันรั่ว 8 ขั้นตอน ชี้เหตุที่เกิดในไทย รุนแรงน้อยกว่าวิกฤติในอ่าวเม็กซิโก เมื่อปี 53 ราว 4,000 เท่า แต่ขอให้เป็นบทเรียนในการเตรียมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
จากกรณีที่ท่อน้ำมันดิบกลางทะเลของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. รั่วไหล เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 ส่งผลให้น้ำมันดิบจำนวน 50,000 ลิตร ไหลลงสู่ทะเลระยอง จากนั้นกระแสคลื่นลมแรง ได้ทำให้คราบน้ำมันทะลักเข้ามายังชายฝั่งอ่าวพร้าว ทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ต้องประกาศให้อ่าวพร้าวเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทางทะเล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อเร่งกำจัดคราบน้ำมันนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ (30 กรกฎาคม 2556) มีรายงานว่า รศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เขียนบทความทางวิชาการเรื่อง ภาพรวมแนวทางจัดการน้ำมันรั่วไหล (Oil Spill) ลงสู่ทะเล เผยแพร่บนเว็บไซต์eng.chula.ac.th ซึ่งเป็นของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเสนอแนวทางการจัดการปัญหาน้ำมันรั่ว 8 ขั้นตอน ได้แก่









ในบทความดังกล่าวของ รศ.ดร.พิสุทธิ์ ยังระบุอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่เกิดขึ้นกับแท่นขุดเจาะน้ำมัน Deepwater Horizon ของ บริษัท บริติช ปิโตรเลียม (บีพี) ในอ่าวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2553 ที่น้ำมันดิบปริมาณมากถึง 780,000 ลูกบาศก์เมตร ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโกเป็นระยะเวลานานถึง 3 เดือน ก่อนที่จะสามารถหยุดการรั่วไหลได้ และต้องใช้เวลานานถึง 5 เดือนกว่า เพื่อปิดตายบ่อน้ำมันดังกล่าวอย่างถาวร
ซึ่งปริมาณการรั่วไหลของน้ำมันที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในครั้งนี้ มีค่าที่ต่ำกว่ามาก ๆ ราว 4,000 เท่า แต่จะเห็นได้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากน้ำมันรั่วไหลนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาดความชัดเจนในการจัดการ, การเตรียมความพร้อม และประสบการณ์ ก็สามารถส่งผลเสียในวงกว้างให้กับหลากหลายภาคส่วนของประเทศได้ ดังนั้น การป้องกันและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุก ๆ ฝ่ายต้องให้ความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.พิสุทธิ์ ได้ระบุเนื้อหาปิดท้ายบทความดังกล่าวว่า เราควรให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก หรือถ้าเกิดขึ้นอีก ก็ต้องมีแนวทางการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ เพราะปัญหาดังกล่าวกระทบกับระบบเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อม และเหนือสิ่งอื่นใด ปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนคนไทยอีกด้วย
ที่มา :http://hilight.kapook.com/view/89189
วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557
การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันเราทราบดีแล้วว่า สิ่งแวดล้อมของโลกได้ถูกมนุษย์ทำลายลงเป็นอย่างมาก เช่น การ ตัดไม้ทำลายป่า การกระทำของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก (green house effect) การใช้ สารเคมีในการปราบศัตรูพืชมากเกินไป ทำให้เกิดผลตามมา เช่น แมลงดื้อยา ดินเสื่อมสภาพ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ทุกชนิดบนโลก รวมทั้งมนุษย์ด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้น เราจึงหันมาให้ความสนใจในการที่จะดูแลรักาาสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ในสภาพที่ดีอย่างยั่ง ยืน โดยมีหลักการพัฒนาที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน คือ
- การรักษาสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึง
- การอนุรักษ์ทรัพยากร
- ควบคุมการปล่อยของเสียสู่ธรรมชาติ
- การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นคุณค่า
- ควบคุมจำนวนประชากร เพื่อลดความต้องการการใช้ทรัพยากรของมนุษย์
- ลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยใช้วิธีทางธรรมชาติในการกำจัดศัตรูพืชแทน

ในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เหมาะสมและได้รับประโยชน์สูงสุด ควรคำนึง ถึงหลักต่อไปนี้
- การอนุรักษ์ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ต้องคำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติอื่นควบคู่ กันไป เพราะทรัพยากรธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์และส่งผลต่อกันอย่างแยก ไม่ได้
- การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด ต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และคุณภาพชีวิตอย่างกลมกลืน ตลอดจนรักษาไว้ซึ่งความสม ดุลของระบบนิเวศควบคู่กันไป
- การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทั้งประชาชนในเมือง ในชนบท และ ผู้บริหารทุกคนควรตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา โดย เริ่มต้นที่ตนเองและท้องถิ่นของตน ร่วมมือกันทั้งภายในประเทศและทั้งโลก
- ความสำเร็จของการพัฒนาประเทศ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์และความปลอดภัยของ ทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นการทำลายมรดก และ อนาคตของชาติด้วย
- ประเทศมหาอำนาจที่เจริญทางด้านอุตสาหกรรม มีความต้องการทรัพยากรธรรมชาติเป็น จำนวนมาก เพื่อใช้ป้อนโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศของตน ดังนั้นประเทศที่กำลัง พัฒนาทั้งหลายจึงต้องช่วยกันป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจ
- มนุษย์สามารถนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้ แต่การจัด การนั้นไม่ควรมุ่งเพียงเพื่อการอยู่ดีกินดีเท่านั้น ต้องคำนึงถึงผลดีทางด้านจิตใจ ด้วยการ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในสิ่งแวดล้อมแต่ละแห่งนั้น จำเป็นต้องมีความรู้ในการรักษาทรัพยา กรธรรมชาติ ที่จะให้ประโยชน์แก่มนุษย์ทุกแง่ทุกมุมทั้งข้อดี และข้อเสียโดยคำนึงถึงการ สูญเปล่าอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติด้วย
- รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นและหายาก ด้วยความระมัดระวังพร้อมทั้งประโยชน์และ การทำให้อยู่ในสภาพที่เพิ่มทั้งทางด้านกายภาพ และเศรษฐกิจเท่าที่ทำได้ รวมทั้งจะต้อง ตระหนักเสมอว่าการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากเกินไป จะไม่เป็นการปลอดภัยต่อสิ่งแวด ล้อม
- ต้องรักษาทรัพยากรที่ทดแทนได้ โดยให้มีอัตราการผลิตเท่ากับอัตราการใช้ หรืออัตราการ เกิดเท่ากับอัตราการตายเป็นอย่างน้อย
- หาทางปรับปรุงวิธีการใหม่ๆ ในการผลิต และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิ ภาพ อีกทั้งพยายามค้นคว้าสิ่งใหม่มาใช้ทดแทน
- ให้การศึกษาเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ

- การถนอม เป็นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติทั้งปริมาณและคุณภาพให้มีอยู่นานที่สุด โดย พยายามใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพ เช่น การเลือกจับปลาที่มีขนาดโตมาใช้ ในการบริโภค ไม่จับปลาที่มีขนาดเล็กเกินไป เพื่อให้ปลาเหล่านั้นได้มีโอกาสโตขึ้นมา แทนปลาที่ถูกจับไปบริโภคแล้ว
- การบูรณะซ่อมแซม เป็นการบุรณะซ่อมแซมทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดความเสียหาย ให้ มีสภาพเหมือนเดิมหรือเกือบเท่าเดิม บางครั้งอาจเรียกว่าพัฒนาก็ได้ เช่น ป่าไม้ถูกทำลาย หมดไป ควรมีการปลูกป่าขึ้นมาทดแทน จะทำให้มีพื้นที่บริเวณนั้นกลับคืนเป็นป่าไม้อีก ครั้งหนึ่ง
- การปรับปรุงและการใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การนำแร่โลหะประเภทต่างๆ มาถลุง แล้วนำไปสร้างเครื่องจักรกล เครื่องยนต์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งจะให้ประโยชน์แก่มนุษย์เรา มากยิ่งขึ้น
- การนำมาใช้ใหม่ เป็นการนำทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วมาใช้ใหม่ เช่น เศษเหล็ก สามารถนำกลับมาหลอม แล้วแปรสภาพสำหรับการใช้ประโยชน์ใหม่ได้
- การใช้สิ่งอื่นทดแทน เป็นการนำเอาทรัพยากรอย่างอื่นที่มีมากกว่าหรือหาง่ายกว่า มาใช้ ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติที่หายาก หรือกำลังขาดแคลน เช่น นำพลาสติกมาใช้แทน โลหะในบางส่วนของเครื่องจักรหรือยานพาหนะ
- การสำรวจหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มเติม เพื่อเตรียมไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคต เช่น การสำรวจแหล่งน้ำมันในอ่าวไทย ทำให้ค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวนมาก สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว อีกทั้งช่วยลดปริมาณการนำเข้า ก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ
- การประดิษฐ์ของเทียมขึ้นมาใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณในการใช้ทรัพยากรธรรม ชาติชนิดอื่นๆ ที่นิยมใช้กัน ของเทียมที่ผลิตขึ้นมา เช่น ยางเทียม ผ้าเทียม และผ้าไหม เทียม เป็นต้น
- การเผยแพร่ความรู้ เป็นการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม เพื่อที่จะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ และรัฐควรมีบทบาทในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยการวางแผนจัดทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวด ล้อมอย่างรัดกุม
- การจัดตั้งสมาคม เป็นการจัดตั้งสมาคมหรือชมรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)