วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิธีทําอีเอ็มบอล em ball บําบัดน้ําเสีย

วิธีทําอีเอ็มบอล em ball บําบัดน้ําเสีย รวมน้ำใจบำบัดภัยน้ำเสียจากน้ำท่วม เมื่อชาวไทยเราเกิดวิกฤติน้ำท่วมหนักครั้งนี้ จึงทำให้เห็นสิ่งดีๆที่ชาวไทยเราได้รวมพลังกันร่วมทำสิ่งดีๆครั้งนี้ ใน "โครงการปั้นสารจุลินทรีย์  em ball หนึ่งแสนลูก เพื่อบำบัดน้ำเสีย" เพื่อแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมนำไปใช้เพื่อลดความเน่าเสียของน้ำในแหล่งที่พักอาศัย เพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นเน่าเหม็นและก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมา

โดย "โครงการปั้นสารจุลินทรีย์  em ball หนึ่งแสนลูก เพื่อบำบัดน้ำเสีย" จัดขึ้นโดย สำนักงานทูตความดีแห่งประเทศไทย ร่วมด้วย กองทุน สสส. สมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจย่านราชประสงค์ และองค์กรภาคีเครือข่าย วัตถุประสงค์เพื่อ ช่วยบรรเทาทุกข์ภัยหนึ่งที่มาจากสถานการณ์น้ำท่วมอย่างรุนแรงในไทย ครอบคลุมหลายจังหวัด เมื่อมีน้ำท่วมขังอยู่เป็นเวลานานจะทำให้เกิดการย่อยสลายของพืชและสัตว์ที่ตายทำให้เน่าเหม็นและเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคร้าย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาด้านต่างๆตามมา เช่นปัญหาสุขภาพ ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น จึงได้จัดโครงการครั้งนี้ขึ้นมาเพื่อส่ง อีเอ็มบอล ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

em ball คือ ส่วนผสมของรำ ดินทราย แกลบป่น และ EM แล้วนำมาปั้นให้เป็นลูกกลมๆ ทำเพื่อ ใช้บำบัดน้ำเสีย

วิธีทําอีเอ็มบอล em ball บําบัดน้ําเสีย
ส่วนผสมที่ต้องใช้มี 2 ส่วนด้วยกัน



ส่วนที่ 1 แบบน้ำ

ส่วนประกอบปริมาณ
1น้ำสะอาด10 ลิตร
2กากน้ำตาล10 ช้อนแกง
3EM10 ช้อนแกง
น้ำส่วนผสมทั้งสามอย่าง มาผสมให้เข้ากัน

ส่วนที่ 2 แบบหยาบ
 ส่วนประกอบปริมาณ
1รำละเอียด1 ส่วน
2ดินทราย1 ส่วน
3แกลบป่น หรือ รำหยาบ1 ส่วน
น้ำส่วนผสมทั้งสามอย่าง มาผสมให้เข้ากัน
  1. หลังจากนั้นนำส่วนผสม ส่วนที่ 1 มารด ส่วนที่ 2 แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน
  2. แล้วปั้นเป็นก้อนกลม ขนาดประมาณกำปั้น หรือขนาดพอเหมาะ
  3. แล้วนำไปวางไว้ในที่ร่ม จนกว่าจะแห้งสนิท จึงนำไปใช้ได้ ใช้เวลาประมาณ 3 วัน เพื่อให้จุลินทรีย์เจริญเติบโต
     

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กังหันน้ำชัยพัฒนา

กังหันน้ำชัยพัฒนา


 
Imageพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้น และทรงห่วงใยต่อพสกนิกรที่ต้องเผชิญในเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2531 ได้พระราชทานพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย ด้วยการใช้เครื่องกลเติมอากาศ โดยพระราชทานรูปแบบสิ่งประดิษฐ์ที่เรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพสูงในการบำบัดน้ำเสีย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ กังหันน้ำชัยพัฒนา และนำมาใช้ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำตามสถานที่ต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค
กังหันน้ำชัยพัฒนา เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยในความเดือดร้อนทุกข์ยากที่เกิดขึ้นนี้ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสภาพน้ำเสียในพื้นที่หลายแห่งหลายครั้ง ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด พร้อมทั้งพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการแก้ไขน้ำเน่าเสีย
ในระยะแรกระหว่างปี พ.ศ. 2527-2530 ทรงแนะนำให้ใช้น้ำที่มีคุณภาพดีช่วยบรรเทาน้ำเสียและวิธีกรองน้ำเสียด้วยผักตบชวาและพืชน้ำต่างๆ ซึ่งก็สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้ผลในระดับหนึ่ง

กังหันน้ำพระราชทาน 
Imageต่อมาในช่วงปี พ.ศ.2531 เป็นต้นมา สภาพความเน่าเสียของน้ำบริเวณต่างๆ มีอัตราแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น การใช้วิธีธรรมชาติไม่อาจบรรเทาความเน่าเสียของน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงขอพระราชทานพระราชดำริให้ประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศแบบประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถผลิตได้เองในประเทศ ซึ่งมีรูปแบบ "ไทยทำไทยใช้"โดยทรงได้แนวทางจาก "หลุก" ซึ่งเป็นอุปกรณ์วิดน้ำเข้านาอันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นจุดคิดค้นเบื้องต้น และทรงมุ่งหวังที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลในการบรรเทาน้ำเน่าเสียอีกทางหนึ่งด้วย   
การนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบประมาณ เพื่อการศึกษาและวิจัยสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ โดยดำเนินการจัดสร้างเครื่องมือบำบัดน้ำเสียร่วมกับกรมชลประทาน ซึ่งได้มีการผลิตเครื่องกลเติมอากาศขึ้นในเวลาต่อมา และรู้จักกันแพร่หลายทั่วไประเทศในปัจจุบันคือ "กังหันน้ำชัยพัฒนา"

พระราชดำริ
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรูปแบบและพระราชดำริ เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย โดยการเติมออกซิเจนในน้ำ มีสาระสำคัญ คือ

การเติมอากาศลงในน้ำเสีย มี 2 วิธีวิธีหนึ่ง ใช้อากาศอัดเข้าไปตามท่อเป่าลงไปใต้ผิวน้ำแบบกระจายฟองและอีกวิธีหนึ่ง น่าจะกระทำได้โดยกังหันวิดน้ำ วิดตักขึ้นไปบนผิวน้ำ แล้วปล่อยให้ตกลงไปยังผิวน้ำตามเดิม โดยที่กังหันน้ำดังกล่าวจะหมุนช้า ด้วยกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาดเล็กไม่เกิน 2 แรงม้า หรืออาจจะใช้พลังน้ำไหลก็ได้ จึงสมควรพิจารณาสร้างต้นแบบ แล้วนำไปติดตั้งทดลองใช้บำบัดน้ำเสียที่ภายในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และวัดบวรนิเวศวิหาร

Image Image

การศึกษา วิจัย และพัฒนา
กรมชลประทานรับสนองพระราชดำริในการศึกษาและสร้างต้นแบบ โดยดัดแปลงเครื่องสูบน้ำพลังน้ำจาก "กังหันน้ำสูบน้ำทุ่นลอย" เปลี่ยนเป็น "กังหันน้ำชัยพัฒนา" และได้นำไปติดตั้งใช้ในกิจกรรมบำบัดน้ำเสียที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2532 และที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2532 เพื่อศึกษา วิจัย และพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นระยะเวลา 4-5 ปี

คุณสมบัติ
กังหันน้ำชัยพัฒนา หรือเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย (Chaipattana Low Speed Surface Aerator) ซึ่งเป็น Model RX-2 หมายถึง Royal Experiment แบบที่ 2 มีคุณสมบัติในการถ่ายเทออกซิเจนได้สูงถึง 1.2 กิโลกรัมของออกซิเจน/แรงม้า/ชั่วโมง สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมปรับปรุงคุณภาพน้ำได้อย่างอเนกประสงค์ ติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับใช้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ สระน้ำ หนองน้ำ คลอง บึง ลำห้วย ฯลฯ ที่มีความลึกมากกว่า 1.00 เมตร และมีความกว้างมากกว่า 3.00 เมตร

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผลกระทบของสารมลพิษทางอากาศ

           ผลกระทบของสารมลพิษทางอากาศ
ในที่นี้จะกล่าวถึงผลกระทบของก๊าซมลพิษบางตัวที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์

                  คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO)  เป็นก๊าซที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของสารประกอบคาร์บอน
เป็นก๊าซที่ไม่มีสีรสและกลิ่นเบากว่าอากาศทั่วไป เมื่อหายใจเข้าไป  ก๊าซนี้จะรวมตัวฮีโมโกลบิน
(haemoglobin) ในเม็ดเลือดแดงได้มากกว่าออกซิเจนถึง 200-250  เท่า เกิดเป็นคาร์บอกซีฮีโมโกลบิน
(Carboxyhemoglobin) ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถรับ  O2ได้ตามปกติร่างกายได้รับ O2 น้อยลงและหัวใจ
ต้องสูบฉีดโลหิตมากขึ้น เพื่อทำให้โลหิตผ่านปอดมากขึ้น จะได้มีการรับ O2ให้มากขึ้นหัวใจและปอดจะต้อง
ทำงานหนักขึ้น อาการทั่วไปเมื่อร่างกายได้รับ CO คือ   วิงเวียนศีรษะหายใจอึดอัด คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ
มึนงง  หากร่างกายได้รับคาร์บอนไดออกไซด์มากอาจช็อกหมดสติหรือตายได้ 
รูปที่ 2.6 ภาพของฮีโมโกลบิน
           แสดงให้เห็นส่วนฮีมซึ่งจะจับ O2ตามปกติ เมื่อมี COในอากาศ CO จะไปแย่ง O2จับกับฮีโมโกลบิน
ทำให้ร่างกายขาด O2
                  ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน  ออกไซด์ของไนโตรเจนประกอบด้วยไนตรัสออกไซด์  (NOS)
ไนตริกออกไซด์ (NO) ไดไนโตรเจนไตรออกไซด์ (N2O3) ไนโตรเจนไดออกไซด์ (N2O) ไดไนโตรเจน
เตตรอกไซด์ (N2O4) และไดไนโตรเจนเพนตอกไซด์ (N2O5) โดยทั่วไปก๊าซที่ทำให้เกิดมลพิษ
ทางอากาศ คือ ก๊าซไนตริกออกไซด์ (NO) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ( NO2)

                  ก๊าซไนตริกออกไซด์ (NO)    เป็นก๊าซเฉื่อยมีคุณสมบัติเป็นยาสลบ เป็นก๊าซ
ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น  ในธรรมชาติทั่วไปพบในปริมาณน้อยกว่า 0.5 ppm. ละลายน้ำได้เล็กน้อย ส่วนไนโตรเจน
ไดออกไซด์ ( NO2) เป็นก๊าซสีน้ำตาล ถ้ามีจำนวนมากจะมองเห็น  ก๊าซทั้งสองชนิดจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ิได้แก่ ฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ภูเขาไฟระเบิด หรืออาจเกิดจากกลไกของจุลินทรีย์ และนอกจากนี้อาจเกิดจากมนุษย์
เช่น จากอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตกรดไนตริก และกรดกำมะถัน และโรงงานผลิตวัตถุระเบิด และ
การเผาไหม้เของเครื่องยนต์ เป็นต้น
          
           ก๊าซไนตริกออกไซด์ทำปฏิกิริยากับโอโซนในบรรยากาศจะเกิดเป็นไนโตเจนไดออกไซด์และออกซิเจน
ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีแสงแดดจะทำให้ไนโตรเจนออกไซด์เกิดปฏิกิริยาผันกลับ
NO + O 3     NO 2+ O2

     โดยทั่วไป ก๊าซ  NO2 ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เกิดอันตราย แต่ NO2 จะรวมตัวกับน้ำในอากาศเป็น HNO3
(กรดไนตริก) ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อน
                 ซัลเฟอร์ออกไซด์ (SOx)  ออกไซด์ซัลเฟอร์ประกอบด้วย  SO2  และ  SO3 โดยทั่วไปมักเขียนแทน
ซัลเฟอร์ออกไซด์ ด้วย SOx
         ซัลเฟอร์ไดออกไซด์  (SO2)  เป็นก๊าซไม่มีสี ไม่ติดไฟ  มีกลิ่นแสบจมูก  ละลายได้ดีในน้ำโดยจะเปลี่ยนเป็น
กรดซัลฟูริก  ในธรรมชาติทั่วไปจะมีปริมาณน้อยในบรรยากาศคือ 0.02 - 0.1 ppm. แต่ถ้าพบในปริมาณสูงแล้ว
ส่วนมากจะเกิดจากการเผาไหม้  โดยใช้เชื้อเพลิงหรือวัสดุที่มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบปฏิกิริยาการเกิดซัลเฟอร์
ไดออกไซด์ (SO2)

S + O2      SO2


        ถ้า SO2ทำปฏิกริยากับ O2ในอากาศจะได้ SO3 ยิ่งถ้าในบรรยากาศมีตัวเร่งปฏิกิริยาเช่น มังกานีส เหล็ก
หรือกลุ่ม metallic oxide จะทำ ให้ปฏิกริยาเร็วขึ้น

                                                     ตัวเร่ง
SO21/2O2      SO3

      ถ้าในบรรยากาศ   มีละอองน้ำหรือความชื้นสูง SO2จะเกิดการรวมตัวเป็นฝนกรด (acid rain) ซึ่งจะส่งผลกระทบ
ต่อระบบนิเวศ ป่าไม้ แหล่งน้ำ สิ่งมีชีวิตและมีฤทธิ์กัดกร่อนอาคาร

        
2SO2 + 2H 2O + O2        H 2 SO4
SO3 + 2                    H2SO4

Smog  (ควัน)
         ควันมีทั้งควันดำและควันขาว

               ควันดำ คือ อนุภาคของคาร์บอนเป็นผงหรือ เขม่าเล็ก ๆ ที่เหลือจากการเผาไหม้ของ
เครื่องยนต์ที่มีการใช้น้ำมันดีเซลเป็นส่วนใหญ่ และจากโรงงานอุตสาหกรรม

              ควันขาวคือสารไฮโดรคาร์บอนหรือน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะปล่อยออกมาทาง
ท่อไอเสีย สารไฮโดรคาร์บอนเหล่านี้อาจเกิดปฏิกิริยาต่อจนได้เป็นก๊าซโอโซนในบรรยากาศเมื่อได้รับแสงอาทิตย์
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
ฝนกรด
          ฝนกรด หมายถึง น้ำฝนที่มีค่า pH ต่ำกว่า 5.6 โดยส่วนมากเกิดจากก๊าซ 2 ชนิด คือ

        1. ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ทำให้เกิดกรด ซัลฟุริก (H2SO4)

        2. ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ทำให้เกิดกรด ไนตริก (HNO3)

             ฝนกรดมักพบในเขตอุตสาหกรรมซึ่งสามารถอยู่ในรูปของฝน หมอก หิมะ ซึ่งมีผลกระทบต่อพืช
สัตว์น้ำ และ สิ่งก่อสร้างต่างๆ

           กลไกการเปลี่ยนจากก๊าซ SO2 และ NOx เป็นกรด เกิดได้ทั้งในสถานะก๊าซและของเหลว

            1.ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2)   ปฎิกิริยาของซัลเฟอร์ไดออกไซด์กับออกซิเจนในบรรยากาศ ดังนี้

                                                       
                        
S (ในถ่านหิน)+O2     SO2    
SO2 + O2       2SO3
SO3+H2      H2SO4          
  
                                                       

              2. ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx)

                 โดยปกติทั้ง O2 และ NO2 เป็นก๊าซที่ไม่ว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาแต่ถ้าอยู่ภายใต้อุณหภูมิและ
ความดันสูงก๊าซทั้งสองชนิดจะทำปฏิกิริยากันเกิดเป็น nitrogen dioxide ( NO2)

                                                 
 N2(gas) + O2 (gas) + พลังงาน        2 NO (gas)

                 จากนั้น NO จะทำปฏิกิริยากับ O2 ในบรรยากาศได้ nitrogen dioxide (NO2)

                                              
   2 NO (gas) + O2 (gas)        2 NO2(gas)
             
                NO2เป็นก๊าซพิษมีน้ำตาล และเป็นก๊าซที่ว่องไวในการทำปฏิกิริยา ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระ
ของหมู่ hydroxyl (OH) ในบรรยากาศได้กรดไนตริก HNO3 ซึ่งจะละลายในน้ำ

                                                 
NO2(gas) + OH (gas)       HNO3(gas)

ผลกระทบของฝนกรด
           ฝนกรดมีผลกระทบต่อพืชและทรัพยากรธรรมชาติ กล่าวคือ ฝนกรดสามารถทำปฎิกิริยากับธาตุอาหาร
ที่สำคัญของพืช เช่น  แคลเซียม, ไนเตรต, แมกเนเซียม  และ โปรแตสเซียม  ทำให้พืชไม่สามารถนำธาตุอาหาร
เหล่านี้ไปใช้ได้ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศยังไปปิดปากใบพืช ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการหายใจของพืช

          ความเป็นกรดที่เพิ่มขึ้นของน้ำยังมีผลกระทบด้านระบบนิเวศ   ที่อยู่อาศัยรวมถึงการดำรงชีวิตอีกด้วย
          ฝนกรดสามารถละลาย calcium carbonate ในหินทำให้เกิดการสึกกร่อน เช่น ปิรามิดในประเทศอียิปต์
์ และ ทัชมาฮาลในประเทศอินเดีย เป็นต้น  นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์กัดกร่อนทำลายพวกโลหะทำให้เกิดสนิมเร็วขึ้น
อีกด้วย


รูปที่ 2.7 การเกิดฝนกรดและผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การกัดกร่อนของหิน
การสลายตัวของ หินปูน และโครงสร้างของอาคาร รวมทั้งผลต่อระบบหายใจของมนุษย์
ผลกระทบจากฝนกรด อาจสรุปได้ดังนี้คือ
                  1. ฝนกรดจะทำลายธาตุอาหารบางชนิดในดิน เช่น ไนเตรต ฟอสเฟต ทำให้ดินเป็นกรดเพิ่มขึ้น
มีผลต่อการ เพาะปลูก เช่นผลผลิตของพิชน้อยกว่าปกติ เพราะฝนกรดทำให้ดินเปรี้ยวจุลินทรีย์หลายชนิดในดิน
ที่มีประโยชน์ต่อ การเจริญเติบโตของพืชถูกทำลาย ซึ่งจะมีผลกระทบในแง่การย่อยสลายในดินและการเจริญ
เติบโตของพืช

                 2. ฝนกรดทำลายวัสดุสิ่งก่อสร้างและอุปกรณ์บางชนิด คือ จะกัด กร่อนทำลายพวกโลหะ เช่น
เหล็กเป็นสนิม เร็วขึ้น สังกะสีมุงหลังคา ที่ใกล้ ๆ โรงงานจะ ผุกร่อนเร็ว สังเกตได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้ แอร์
ตู้เย็น หรือวัสดุอื่น ๆ เช่นปูนซีเมนต์หมดอายุเร็วขึ้น ผุกร่อนเร็วขึ้น เป็นต้น

                 3. ฝนกรดจะทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ปู หอย กุ้ง อาจมีจำนวนลดลงหรือสูญพันธุ์ไปได้
เพราะ ฝนกรดที่เกิดจากก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และเกิด จากก๊าซไนโตรเจนอ๊อกไซด์ จะทำให้น้ำในแม่น้ำ
ทะเลสาบ มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ถ้าเกิดอย่างรุนแรงอาจทำให้สัตว์น้ำดังกล่าวตาย เช่น อเมริกาตอนกลาง
ค่า PH  ของน้ำในทะเลสาบลดลง   ทำให้ทะเลสาบ 85 แห่ง ไม่มีปลาซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นใน
ทะเลสาบ ในประเทศ สวีเดน ทะเลสาบบางแห่ง ป้องกัน ตัวเองจาก ฝนกรดได้เพราะในทะเลสาบนั้นมีสารพวก
ไบคาร์บอเนต หรือแร่ธาตุอื่นละลายอยู่

การควบคุมและป้องกัน 
                    ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้น้อยลง จะสามารถทำให้ค่าความเป็นกรดในน้ำฝนลดลงได้
ในช่วงที่ฝนตกใหม่ๆ น้ำฝนจะไม่สะอาดมีความเป็นกรดสูง คือ pH อยู่ระหว่าง 3.5-5.0
VOCs ( volatile organic compound)
                  1. สารอินทรีย์ไอระเหย (Volatile Organic Chemicals, VOCs) คือ กลุ่มสารประกอบอินทรีย์
ที่ระเหย เป็นไอได้ง่าย ที่อุณหภูมิและความดันปกติ โมเลกุลประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอนและไฮโดรเจน
เป็นสำคัญ ซึ่งอาจมีอะตอม ของออกซิเจนหรือ คลอรีนร่วมด้วย VOCs เป็นองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์
หลายอย่าง ในชีวิต ประจำวัน เช่น สีทาบ้าน ควันบุหรี่  สารฟอกสี  สารตัวทำละลายในหมึกพิมพ์  สีรถยนต์
สารโรงงานอุตสาหกรรม น้ำยาซักแห้ง  ผลิตภัณฑ์สำหรับ เส้นผม   สารฆ่าแมลง เป็นต้น

                 VOCs แบ่งตามลักษณะของโมเลกุลได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

                     1. Non-chlorinated VOCs หรือ Non-halogenated hydrocarbons ได้แก่ กลุ่มไฮโดร
คาร์บอน ระเหยที่ไม่มีธาตุคลอรีนเป็นองค์ประกอบ เช่นสารในกลุ่ม aliphatic hydrocarbons (เช่น
น้ำมันเชื้อเพลิง, ก๊าซโซลีน (gasoline) ,hexane , solvents,ในอุตสาหกรรม alcohols, aldehydes, ketone)
และกลุ่ม aromatic hydrocarbons (เช่น toluene, benzene, ethylbenzene, xylenes, styrene, phenol)
สาร VOCs กลุ่มนี้มาจาก การเผาไหม้กองขยะ พลาสติก วัสดุและอุปกรณ์เครื่องใช้ สีทาวัสดุเป็นต้น ซึ่งมี
ีอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

                    2. chlorinated VOCs หรือ halogenated hydrocarbons ได้แก่ กลุ่มไฮโดรคาร์บอนระเหย
ที่มีธาตุคลอรีนเป็นองค์ประกอบ ได้แก่ สารเคมีสังเคราะห์ในอุตสาหกรรม สาร chlorinated VOCs นี้มีความ
เสถียรและสะสมได้นานในสิ่งแวดล้อม มากกว่ากลุ่มแรก (non-chlorinated VOCs) เพราะมีพันธะระหว่าง
คาร์บอนและธาตุกลุ่มฮาโลเจนซึ่งทนทานและ ยากต่อการ สลายตัวในธรรมชาติ อันตรายของสารกลุ่มนี้คือ
จะรบกวนการทำงานของสารพันธุกรรม  ยับยั้งปฎิกริยาชีวเคมีในเซลล์และมีฤทธิ์ในการก่อมะเร็ง

รูปที่   2.8   ตัวอย่างของสาร VOC

               สาร VOCs เข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทางคือ    การหายใจ    ทางปากโดยการกิน-ดื่ม   และ การสัมผัสทาง
ผิวหนัง ซึ่งความเป็นพิษต่อร่างกายจะมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้

              1. ช่วงครึ่งชีวิตของสาร VOCs ในร่างกาย
              2. สภาวะความสมบูรณ์ของร่างกาย
              3. ระบบการขับถ่ายของเสีย

              สาร VOCs ถูกขับผ่านทางไตโดยปัสสาวะ ทางลมหายใจ และทางตับ และน้ำดี

              สาร VOC มีอันตรายต่อมนุษย์ ดังนี้คือ
                    ผลต่อระบบภูมิคุ้มกันทำให้ประสิทธิภาพลดลง
                    ผลกระทบ ผลกระทบต่อระบบประสาท เช่น มีฤทธิ์กดประสาท, ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง
                    ผลกระทบต่อด้านอื่นๆ เช่น ระบบพันธุกรรม ระบบฮอร์โมน ระบบสืบพันธุ์ และระบบประสาท
อาจก่อ ให้เกิดโรคมะเร็ง

การป้องกันและการแก้ไข
                   การป้องกันและการแก้ไขอาจทำได้โดย ป้องกันมิให้มีการใช้สารที่อันตรายสูงต่อสุขภาพ
โดยไม่จำเป็นหรือมีมาตรการในการจัดควบคุมให้สารกลุ่มปนเปื้อน ในสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อ
สิ่งมีชีวิต

ฝุ่นละออง (Suspended Particulate Matter)

          
   ฝุ่นละอองในบรรยากาศเป็นปัญหามลพิษทางอากาศที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพมหานครและ
เมืองใหญ่ๆ  ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมประกอบด้วยสารต่างๆ
ทั้งที่เป็นของแข็ง และ ของเหลว ที่กระจายอยู่ในบรรยากาศ เป็นกลุ่มของโมเลกุลที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
มีขนาดตั้งแต่ 0.002 ไมครอนไปจนถึง ฝุ่นที่มีขนาดใหญ่กว่า 500 ไมครอน ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทดังนี้

• ฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน
• ฝุ่นรวม (Total Suspended Particulate: TSP) มีขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน
• ฝุ่นหนัก (dust fall) ฝุ่นขนาดตั้งแต่ 100 ไมครอนขึ้นไป

      แหล่งที่มาของฝุ่นละอองในบรรยากาศ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ

      1. ฝุ่นละอองตามธรรมชาติ ( natural particle ) เช่น ดิน ทราย ละอองน้ำ เขม่าควันจากควันป่า ฝุ่นเกลือ
         จากทะเล

      2. ฝุ่นละอองที่เกิดจากกิจกรรมที่มนุษย์ ( man-made particle )
            การคมนาคมขนส่ง
            การก่อสร้าง การปรับปรุงสาธารณูปโภค
            โรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้เชื้อเพลิง

             โลหะหนักและสารประกอบของโลหะหนัก เช่น แคดเมียม (Cd)  ตะกั่ว  (Pb)  โครเมียม(Cr) ทำให้เกิด
ฝุ่นส่วนใหญ่ โดยจะเป็นในรูปของอนุภาคและจะแตกตัวในน้ำและดินโดยไปสะสมอยู่ได้ทั้งแบบแห้งและเปียก
(dry and wet depositions)และก่อให้เกิดปัญหาน้ำและดินปนเปื้อนส่วนใหญ่แคดเมียมมาจากโรงงานถลุงสังกะสี
โรงงานผลิตรงควัตถุแคดเมียม (cadmium  pigment) เป็นต้น  ตะกั่วมาจากโรงงานถลุงตะกั่ว โรงงานผลิตรงควัตถุ (pigment) โรงงานแก้ว และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเติมสารตะกั่ว ส่วนแหล่งโครเมียม ได้แก่โรงงานผลิตรงควัตถุโครเมี่ยม
(chromium pigment) เป็นต้น
             ผลเสียของฝุ่นละอองในด้านต่างๆ แบ่งได้ดังนี้คือ

                1. ผลต่อสภาพบรรยากาศทั่วไป ทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี เนื่องจากเป็นอนุภาคของแข็งที่ดูดซับ
และหักเหแสงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและความหนาแน่น และองค์ประกอบของฝุ่นละออง

                2. ผลต่อวัตถุและสิ่งก่อสร้าง ทำให้เกิดความสกปรกแก่ อาคาร และสิ่งก่อสร้าง และทำอันตรายต่อวัตถุ
ุและสิ่งก่อสร้างได้  เช่นกัดกร่อนผิวหน้าของโลหะหินอ่อนหรือวัตถุอื่นๆ เช่น รั้วเหล็ก หลังคาสังกะสี รูปปั้น ฯลฯ

               3. ผลต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์  ทำให้เกิดอาการระคายเคืองตาและ ยังส่งผลต่อระบบหายใจซึ่ง
ขึ้นอยู่กับขนาดของฝุ่นละออง   ละอองขนาดใหญ่จะถูกดักไว้ที่ขนจมูกส่วนฝุ่นละอองที่สามารถเข้าสู่ระบบ
ทางเดินหายใจของมนุษย์ได้มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เมื่อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจทำให้ระคายเคืองแสบจมูก
ไอ จาม มีเสมหะหรือมีการสะสมของฝุ่นในถุงลมปอด ทำให้การทำงานของปอดเสื่อมลง

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การอนุรักษ์ปะการัง


การอนุรักษ์ปะการังมีการดำเนินการดังนี้คือ
     1.  ทำการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในแนวปะการัง  พร้อมทั้งจัดทำแผนที่รายละเอียดแสดงบริเวณปะการัง  ซึ่งแบ่งเป็น 4 เขต  ได้แก่  เขตการดูแลของท้องถิ่น  เขตการใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวและนันทนาการ  เขตอนุรักษ์เพื่อความสมดุลของระบบนิเวศ และการวิจัย  โดยกำหนดมาตรการในการบริหารการจัดการปะการังในแต่ละเขต  เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์และควบคุมการดำเนินกิจกรรมให้สอดคล้องกับมาตรการที่กำหนดไว้
   2.  ติดตั้งทุ่นผูกเรือในเขตการใช้ประโยชน์ในแนวปะการังที่มีความสำคัญสูง  สำหรับให้จอดเรือ  โดยไม่ให้ทิ้งสมอ
   3.  ห้ามการจับปลาทุกประเภทในบางบริเวณเพื่อให้มีปลาเข้ามาหลบในบริเวณนั้นมากขึ้น
   4.  นำเรือท้องกระจกเพื่อให้ดูปะการัง
   5.  ประชาสัมพันธ์ให้มีการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรปะการัง  โดยให้มีการศึกษาและเผยแพร่ความรู้และคุณค่าของปะการังให้กับบุคคลทุกประเภท  ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ  ในการป้องกันและฟื้นฟูปะการัง
   6.  ส่งเสริมให้กลุ่มชุมชน  องค์กรเอกชนสมาคมหรือชมรมการท่องเที่ยว  ร่วมกันจัดกิจกรรมในเรื่องการรักษาความสะอาด  เพื่อการคุ้มครองปะการัง


 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน  ทั้งในด้านการนำมาใช้ประโยชน์และการสงวนรักษา  ทรัพยากรธรรมชาติประกอบด้วยเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมากมาย  ซึ่งในแต่ละเรื่องก็มีปัญหาที่ยุ่งยาก  ซับซ้อน  การพัฒนาประเทศในระยะที่ผ่านมาช่วง 30 ปี  ประสบกับปัญหาการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่รุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ  อันเนื่องมาจากเหตุผลหลายประการ  ได้แก่  การเพิ่มจำนวนประชากรการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว  การเร่งรัดพัฒนาการเกษตรและอุตสาหกรรม  ตลอดจนการนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้ในการผลิต  ซึ่งส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรม  จนกลายเป็นข้อจำกัดของการพัฒนาในระยะต่อไป  ดังปรากฎเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า  ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ที่ใช้ประโยชน์อยู่ทุกวัน  นับวันจะร่อยหรอหมดสิ้นไปและอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ รวมทั้งยังมีปัญหาข้อขัดแย้งในการใช้ประโยชน์อีกด้วย
สำหรับปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความรุนแรงอย่างยิ่ง คือ ความเสื่อมโทรมของแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ  อันเนื่องมาจากการใช้กันอย่างเกินขอบเขตและการใช้อย่างไม่เหมาะสมจนสภาพทางธรรมชาติไม่สามารถรองรับหรือปรับตัวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้

 ปัจจุบันเป็นที่เข้าใจอย่างชัดแจ้งแล้วว่า  การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฉลาดนั้น  จะต้องคำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ในเวลาเดียวกันด้วย  เพราะการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติชนิดหนึ่ง  อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งได้ และเพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน หรือเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน  จึงจำเป็นจะต้องมีการบริหารการจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเนื่องจากการพัฒนาจะต้องพึ่งทรัพยากรและทรัพยากรก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งแวดล้อม  การพัฒนาและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ  จึงควรอยู่บนรากฐานของความถูกต้องและเหมาะสมตามหลักวิชาการ  โดยคำนึงถึงสภาพที่สมดุลหรือขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ และโดยที่ปัจจุบัน  ปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ได้เป็นปัญหาที่สำคัญและเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง  ซึ่งจำเป็นจะต้องดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหา  ตลอดจนควบคุมและส่งเสริมให้การกระทำใด ๆ มีผลกระทบในทางเสียหายน้อยที่สุด  จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญรวมทั้งการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

ทั้งนี้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ  จะต้องคำนึงถึงความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคต  ตลอดจนสถานภาพของทรัพยากรด้วย  เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่ามากที่สุด  ประหยัดที่สุด  สูญเสียน้อยที่สุด และใช้ได้อย่างต่อเนื่อง  การพัฒนาที่ยั่งยืนจึงเป็นการนำขบวนการอนุรักษ์และพัฒนามาผสมผสานเข้าด้วยกันเพื่อให้การจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด  ได้เอื้ออำนวยประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้มากที่สุดและมีผลต่อเนื่องต่อไป หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องหาทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด  เพื่อให้การอนุรักษ์และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ  สามารถดำเนินการควบคู่กันไปได้อย่างยั่งยืน

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557



การป้องกันและแก้ไขมลพิษทางอากาศ
1. กําหนดให้มีและบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพอากาศ พร้อมทั้งทําการสํารวจและ ตรวจสอบคุณภาพอากาศตามแหล่งต่าง ๆ เป็นประจํา
2. พยายามทําให้เกิดความเจือจางของอากาศประจําท้องถิ่น เพื่อควบคุมคุณภาพของอากาศ โดยอากาศที่ห่อหุ้มอยู่นั้นรับสิ่งปฏิกูลต่างๆ ที่ปล่อยออกสู่อากาศได้โดยไม่ทําให้อากาศ สกปรก หรือเป็นอันตราย ควบคุมการใช้ประโยชน์ของที่ดิน ควบคุมที่ตั้งแหล่งอุตสาหกรรม และควบคุมระบบการขนส่งไม่ให้ปล่อยสิ่งปฏิกูลออกมาในอากาศ
3. ป้องกันและกําจัดสิ่งปฏิกูล โดยใช้วัสดุหรือวิธีการอื่นแทน เพื่อไม่ให้เกิดสารพิษที่เป็น อันตรายขึ้น เช่นกําจัดปริมาณซัลเฟอร์ของน้ำมันและถ่านหินที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงซึ่งก่อให้ เกิดความสกปรกของอากาศ
4. ลดปริมาณและชนิดของปฏิกูล ที่เกิดขึ้นจากการสันดาปในเตาเผาและเครื่องยนต์ ได้แก่ ควบคุมไอเสียจากท่อไอเสียของรถยนต์ เป็นต้น
5. ป้องกัน ลดการเกิดและปล่อยออกมาของปฏิกูล อาจทําได.โดยการเปลี่ยนกระบวนการผลิต หรือเครื่องมือต่าง ๆ เช่นการใช้กระแสไฟฟ้าหรือกําลังไอน้ำแทนเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เป็นเชื้อเพลิง
6. การจัดและแยกปฏิกูล ออกมาจากอากาศเสียก่อนที่จะปล่อยออกมาสู่อากาศบริสุทธิ์ ภายนอก เช่นโดยการเผาไหม้
7. ช่วยกันปลูกต้นไม้ ดูแลรักษาต้นไม้ ซึ่งจะช่วยกรองอากาศเสียให้เป็นอากาศดีได้