วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557



การป้องกันและแก้ไขมลพิษทางอากาศ
1. กําหนดให้มีและบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพอากาศ พร้อมทั้งทําการสํารวจและ ตรวจสอบคุณภาพอากาศตามแหล่งต่าง ๆ เป็นประจํา
2. พยายามทําให้เกิดความเจือจางของอากาศประจําท้องถิ่น เพื่อควบคุมคุณภาพของอากาศ โดยอากาศที่ห่อหุ้มอยู่นั้นรับสิ่งปฏิกูลต่างๆ ที่ปล่อยออกสู่อากาศได้โดยไม่ทําให้อากาศ สกปรก หรือเป็นอันตราย ควบคุมการใช้ประโยชน์ของที่ดิน ควบคุมที่ตั้งแหล่งอุตสาหกรรม และควบคุมระบบการขนส่งไม่ให้ปล่อยสิ่งปฏิกูลออกมาในอากาศ
3. ป้องกันและกําจัดสิ่งปฏิกูล โดยใช้วัสดุหรือวิธีการอื่นแทน เพื่อไม่ให้เกิดสารพิษที่เป็น อันตรายขึ้น เช่นกําจัดปริมาณซัลเฟอร์ของน้ำมันและถ่านหินที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงซึ่งก่อให้ เกิดความสกปรกของอากาศ
4. ลดปริมาณและชนิดของปฏิกูล ที่เกิดขึ้นจากการสันดาปในเตาเผาและเครื่องยนต์ ได้แก่ ควบคุมไอเสียจากท่อไอเสียของรถยนต์ เป็นต้น
5. ป้องกัน ลดการเกิดและปล่อยออกมาของปฏิกูล อาจทําได.โดยการเปลี่ยนกระบวนการผลิต หรือเครื่องมือต่าง ๆ เช่นการใช้กระแสไฟฟ้าหรือกําลังไอน้ำแทนเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เป็นเชื้อเพลิง
6. การจัดและแยกปฏิกูล ออกมาจากอากาศเสียก่อนที่จะปล่อยออกมาสู่อากาศบริสุทธิ์ ภายนอก เช่นโดยการเผาไหม้
7. ช่วยกันปลูกต้นไม้ ดูแลรักษาต้นไม้ ซึ่งจะช่วยกรองอากาศเสียให้เป็นอากาศดีได้

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โครงการปลูกหญ้าแฝกรักษาหน้าดิน


  โครงการปลูกหญ้าแฝก 

"...ทุกคนควรจะได้สนใจสังเกต ศึกษาเรื่องราว บุคคลและสิ่งต่าง ๆ ที่แวดล้อมและเกี่ยวข้องกับตัวเองให้มากอย่าละเลยหรือมองข้ามแม้แต่สิ่งเล็กน้อยเช่น ต้นหญ้า ซึ่งถ้าศึกษาพิจารณาให้ดีก็จะก่อให้เกิดปัญญาได้ หญ้านั้นมีทั้งหญ้าที่เป็นวัชพืชซึ่งเป็นโทษ และหญ้าที่มีคุณอย่าง "หญ้าแฝก"ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การอนุรักษ์ดินและน้ำ เพราะมีรากที่หยั่งลึกแผ่กระจายลงไปตรง ๆ ทำให้อุ้มน้ำและยึดเหนี่ยวดินได้มั่นคงและมีลำต้นชิดติดกันแน่นหนา ทำให้ดักตะกอนดินและรักษาหน้าดินได้ดี..." 

พระบรมราโชวาท ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐
 ความเป็นมา 

              การชะล้างพังทลายของดินเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนี่งของประเทศ มีผลต่อความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการป้องกันและแก้ไขปัญหา จึงพระราชทานพระราชดำริให้มีการนำหญ้าแฝกมาใช้ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ
 
                 เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขี้น เนื่องจากหญ้าแฝกเป็นพืชที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ง่าย มีรากที่ยาว แผ่กระจายลงไปในดินตรง ๆ เป็นแผง และง่ายต่อการรักษา เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริเป็นครั้งแรกให้หน่วยงานต่าง ๆ ทำการศึกษา ทดลอง และดำเนินการปลูกหญ้าแฝกเพื่อเป็นการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและเพื่อประโยชน์อื่น ๆ หน่วยงานทั้งหลายจึงได้รับสนองพระราชดำริตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโดยมีสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เป็นผู้ประสานงาน
 
 พระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการศึกษาทดลองเกี่ยวกับหญ้าแฝกมีใจความสรุปได้ว่า 
 
            ๑. หญ้าแฝกเป็นพืชที่มีระบบรากลึก แผ่กระจายลงไปในดินตรง ๆ เป็นแผงเหมือนกำแพง ช่วยกรองตะกอนดินและรักษาหน้าดินได้ดี จึงควรนำมา
                 ศึกษาทด ลองปลูก ให้ทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดินในพื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาและพื้นที่อื่น ๆ ที่เหมาะสมอย่างกว้างขวาง
 
            ๒. การดำเนินการทดลองการปลูกหญ้าแฝก ให้พิจารณาลักษณะของภูมิประเทศ ซึ่งแบ่งตามลักษณะของพื้นที่ดังนี้                        ก. การปลูกหญ้าแฝกบนพื้นที่ภูเขา ให้ปลูกหญ้าแฝกตามแนวขวางของความลาดชันและในร่องน้ำของภูเขา เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน
                            และช่วยเก็บความชื้นในดินไว้ด้วย
                        ข. การปลูกหญ้าแฝกบนพื้นที่ราบ ให้ดำเนินการในลักษณะดังนี้                                    - ปลูกโดยรอบแปลง                                     - ปลูกลงในแปลง แปลงละ ๑ หรือ ๒ แนว                                    - สำหรับแปลงพืชไร่ ให้ปลูกตามร่องสลับกับพืชไร่                         ค. การปลูกหญ้าแฝกรอบสระน้ำ เพื่อป้องกันอ่างเก็บน้ำมิให้ตื้นเขินอันเนื่องมาจากตะกอนจากการพังทลายของดิน ตลอดจนช่วยรักษาดินเหนือ
                             อ่างและช่วยให้ป่าไม้ในบริเวณพื้นที่รับน้ำทวีความสมบูรณ์ขี้นอย่างรวดเร็ว
                        ง. การปลูกหญ้าแฝกเหนือบริเวณแหล่งน้ำ ปลูกแฝกเป็นแนวป้องกันตะกอนดินและกรองของเสียต่าง ๆ ที่ไหลลงในแหล่งน้ำทั้งนี้ให้บันทึกภาพ
                            ก่อนดำเนินการและหลังการดำเนินการไว้เป็นหลักฐาน
 
            ๓. ผลของการศึกษาทดลอง ควรเก็บข้อมูลทั้งทางด้านการเจริญเติบโตของลำต้นและราก ความสามารถในการอนุรักษ์ความสมบูรณ์ของดินและการเก็บความชื้นในดินและเรื่องพันธุ์หญ้าแฝกต่าง ๆ
 
            ด้วยกรมทางหลวงเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ให้ความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและน้ำ รวมไปถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการชะล้างพังทลายของดินเชิงลาดถนน ได้ร่วมในโครงการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยได้กำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานด้านบำรุงทางและก่อสร้างทาง โดยเฉพาะทางหลวงที่ตัดใหม่ดำเนินการปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินลาดคันทางและลาดเหนือคันทางในสายทางต่าง ๆ พร้อมทั้งส่งเสริมแผยแพร่ข้อมูลเทคนิควิชาการเกี่ยวกับหญ้าแฝกแก่หน่วยงานในส่วนภูมิภาค และจัดทำวิดีทัศน์โครงการปลูกหญ้าแฝกเกี่ยวกับการประยุกต์ เทคนิควิธีการปลูกหญ้าแฝกในงานทาง
 
      พื้นที่เป้าหมายใการดำเนินการปลูกหญ้าแฝกของกรมทางหลวงคือ เชิงลาดดินตัดเหนือคันทาง (Back Slope) เชิงลาดดินถมคันทาง (Side Slope) ที่สูงและมีแนวโน้มที่จะเกิดการชะล้างพังทลายของดิน สำหรับสายทางในพื้นที่ ภูเขา ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยดินทรายที่สลายตัวมาจากหินแกรนิตและหินทราย เป็นพื้นที่เป้าหมายเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและการอนุรักษ์ดิน
 การปลูกหญ้าแฝกบริเวณเชิงลาดทางมีอยู่ ๒ ลักษณะ ขึ้นอยู่กับสภาพความรุนแรงหรือแนวโน้มของการจะเกิดการชะล้างพังทลายของเชิงลาดทางคือ 
 
            ๑. การปลูกในพื้นที่เชิงลาดที่มีแนวโน้มของการเกิดการชะล้างพังทลายของดินต่ำ การปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่เชิงลาดนี้เป็นรูปแบบการปลูกโดยทั่วไปมีลักษณะการปลูกหญ้าแฝกเป็นแถวขวางแนวลาดเท โดยมีระยะห่างระหว่างกอกล้าแฝกในแถวอยู่ในช่วง ๑๐ เซนติเมตร และมีระยะห่างระหว่างแถวที่ปลูกตามแนวลาดเท ประมาณ ๑.๐๐ เมตร
 
            ๒. การปลูกในพื้นที่เชิงลาดที่ได้เกิดการชะล้างพังทลายหรือมีแนวโน้มของการเกิดการชะล้างพังทลายของดินสูง การปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ลักษณะนี้เพื่อลดหรือป้องกันไม่ให้การพังทลายของดินเกิดลุกลามขยายตัวรุนแรงขึ้น หรือเป็นการปลูกในงานก่อสร้างแก้ไขการเคลื่อนตัวของดิน ลักษณะการปลูกจะลดระยะห่างระหว่างกอกล้าแฝกในแถวเป็น ๕ เซนติเมตร และมีระยะห่างระหว่างแถวที่ปลูกตามแนวลาดเทประมาณ ๕๐ เซนติเมตร
 
 จากการดำเนินการโครงการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกของกรมทางหลวง สามารถสรุปผลการดำเนินการได้ดังนี้ 
 
            ๑. การปลูกหญ้าแฝกบริเวณพื้นที่เชิงลาดถนนสามารถป้องกันหรือลดการชะล้างพังทลายของดินได้ และเป็นวิธีการที่ใช้เทคโนโลยีอย่างง่าย ราคาถูก ให้
                 ผลทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี
            ๒. การป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน โดยการปลูกหญ้าแฝกเป็น "Long Term Stabilized Slope" ในสภาวะที่เหมาะสมหลังการปลูกเป็นเวลา
                 ประมาณ ๑ ปี หรือ ๑ ฤดูฝน หญ้าแฝกจึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินได้ เนื่องจากรากจะเจริญเติบโตยาวประมาณ
                 ๑ เมตร และกอหญ้าแฝกในแถวจะเจริญเติบโตชิดติดกัน
            ๓. ช่วงระยะเวลาการปลูกที่เหมาะสมสำหรับการปลูกหญ้าแฝกเป็นช่วงตันฤดูฝนหรือช่วงระยะเวลาในฤดูฝน
            ๔. ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การปลูกหญ้าแฝกประสบผลสำเร็จจ ได้ผลดีมีอัตราการรอดตายสูง คือ ช่วงระยะเวลาการปลูกที่เหมาะสม การปลูกหญ้า
                 แฝกในพื้นที่ภาคใต้ได้ผลดี เนื่องจากมีฤดูฝนยาวนานถึง ๗ เดือน
            ๕. การปลูกหญ้าแฝกในบริเวณลาดดินถมคันทาง (Side Slope) จะได้ผลดี หญ้าแฝกมีการเจริญเติบโตดีกว่าการปลูกบริเวณลาดดินตัดเหนือคันทาง
                 (Back Slope) เนื่องจากสภาพความสมบูรณ์และลักษณะความแน่นของดิน
            ๖.หลังการปลูกหญ้าแฝกมีความจำเป็นที่ต้องดูแลรักษา กำจัดวัชพืช และใส่ปุ๋ย เป็นเวลา ๑ - ๒ ปี
            ๗. การปลูกหญ้าแฝกในบริเวณที่มีแนวโน้มที่จะเกิดการชะล้าง พังทลายของดินได้สูงหรือรุนแรงหรือบริเวณที่ได้เกิดการเคลื่อนตัวของดินแล้วให้ลด
                 ระยะห่างของการปลูกลงโดยมีระยะห่างระหว่างกอแฝก ๕ เซนติเมตร และมีระยะห่างระหว่างแถว ๕๐ เซนติเมตร
            ๘. กล้าหญ้าแฝกที่ปลูกควรเป็นกล้าแฝกที่ปลูกชำในถุงพลาสติกที่อภิบาลไว้ก่อนนำไปปลูกประมาณ ๔๕ - ๖๐วัน
            ๙. การปลูกหญ้าแฝกในบางพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่ภาคเหนือหญ้าแฝกไม่เจริญเติบโตหรือเจริญเติบโตไม่ดี เนื่องจากหญ้าในพื้นที่หรือวัชพืช
                 เจริญเติบโตงอกงามและแพร่พันธุ์ได้เร็วกว่า
 
                กรมทางหลวงได้นำเทคนิควิธีการหญ้าแฝกมาประยุกต์ใช้ในการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินเชิงลาดถนนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๖ จนถึงปัจจุบัน และได้มีการฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้เทคนิคการปลูกหญ้าแฝกในงานทางแก่เจ้าหน้าที่กรมทางหลวงในส่วนภูมิภาค เพื่อเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงได้มีความรู้เข้าใจถึงประโยชน์ของหญ้าแฝกในการป้องงกันการชะล้างพังทลายของดิน เป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นและประหยัดงบปประมาณด้านบำรุงรักษา โดยได้มีการนำหญ้าแฝกมาใช้ประโยชน์ปลูกในสายทางต่าง ๆ ที่มีปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน ในสายทางพื้นที่ภูเขาภาคเหนือ-ภาคใต้ ในลักษณะที่เป็นงานส่วนหนึ่งซี่งสามารถกระทำได้เป็นปกติ ที่ดำเนินการได้เอง เมื่อเกิดปัญหาในงานบำรุงปกติ งานก่อสร้างแก้ไขการเคลื่อนตัวของเชิงลาด (Slide) ตลอดจนแขวงการทางบางแห่งได้มีการปลูกขยายพันธุ์กล้าหญ้าแฝกสำรองไว้ใช้เอง
 
          กรมทางหลวงได้ดำเนินการปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่สายทางงานก่อสร้างทางและงานบำรุงทาง ในแต่ละปีประมาณ ๔ ล้าน กล้า เพื่อเป็นการ "ปลูกหญ้าแฝก ปลูกแผ่นดิน" ตามแนวพระราชดำริ
 

 
การปรับปรุงประสิทธิภาพระบบวิธีหญ้าแฝก (VETIVER SYSTEM)
ในงานทาง เพื่อความยั่งยืน และลดการบำรุงรักษา
 
 กรมทางหลวงได้ดำเนินการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการนำเทคนิควิธีการปลูกหญ้าแฝกมาใช้ 
 
              ในงานทาง เพื่อลดหรือป้องกันผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม การป้องกันแก้ไขความเสียหายเชิงลาดทางจากการชะล้างพังทลายของดินในสายทางพื้นที่ภูเขา ตั้งแต่ปี 2536 เนื่องจากหญ้าแฝกมีระบบรากยาว(2.5 – 3 ม.)แผ่กระจายหยั่งลึกสานกันหนาแน่นยึดเม็ดดินไว้ สามารถป้องกันการชะล้างพังทลายและการวิบัติเคลื่อนตัวระดับตื้นของดินเชิงลาดได้ ในแต่ละปีกรมทางหลวงดำเนินการปลูกหญ้าแฝกประมาณ 2.5 – 4 ล้านกล้า และมีโครงการ/กิจกรรม งานด้านหญ้าแฝกที่ดำเนินงานในรูปคณะกรรมการและคณะทำงานร่วมกับส่วนราชการอื่นๆอยู่ 3 คณะคือ
 
            1) คณะกรรมการโครงการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เป็นแกนกลางในการประสานงานดำเนินการมี 35 หน่วยงานร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ท่านอธิบดีกรมทางหลวงร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ดำเนินการตั้งแต่ปี 2536 – ปัจจุบัน ตามแผนแม่บทการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกฉบับที่ 1 – 3 (ฉบับที่3 ปี พ.ศ.2546 – 2549) ภายในแผนปฏิบัติการโครงการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริของกรมทางหลวง ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2546 คือแผนงานการส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ สายทางพื้นที่ภูเขาที่มีปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน ดำเนินการปลูกหญ้าแฝกประมาณปีละ 2.5 – 3.5 ล้านกล้าประกอบด้วย
             - โครงการปลูกหญ้าแฝกงานด้านบำรุงทาง กิจกรรมการปลูกหญ้าแฝกสำนักทางหลวง ประกอบด้วยสำนักทางหลวงที่ 1,2,4,6,9,13,14 และ 15
             - โครงการปลูกหญ้าแฝกงานก่อสร้างสายทาง กิจกรรมการปลูกหญ้าแฝก โครงการก่อสร้างศูนย์สร้างทาง ประกอบด้วยศูนย์สร้างทางสงขลา, ขอนแก่น , ลำปางและตาก
 
            2) คณะทำงานปลูกหญ้าแฝกมูลนิธิโครงการหลวง ดำเนินการตั้งแต่ ก.ย. 2546 – ปัจจุบัน ท่านอธิบดีกรมทางหลวงร่วมเป็น คณะทำงาน ได้รับเงินสนับสนุนการปลูกหญ้าแฝกและศึกษา ในทางหลวงหมายเลข 3272 บ.ไร่ – ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ ปี 2547 – 2549 ประมาณ 3 ล้านบาทและทางหลวงหมายเลข 1265 ตอน อ.ปาย – วัดจันทร์ ศูนย์สร้างทางลำปาง ประมาณ 338,400 บาท ปี 2547 – 2548 ดำเนินการปลูกหญ้าแฝกประมาณ 6 แสนกล้า
 
            3) โครงการปลูกหญ้าแฝกเฉลิมพระเกียรติฯ ประจำปี 2549 – 2550 จัดตั้งเมื่อ 9 พฤษภาคม 2548 ท่านปลัดกระทรวง คมนาคมหรือผู้แทนเป็นกรรมการฯ กรมพัฒนาที่ดินเป็นแกนกลางในการประสานงานดำเนินการและให้การสนับสนุนพันธุ์กล้าหญ้าแฝก กระทรวงคมนาคม มอบหมายให้กรมทางหลวงร่วมดำเนินการปลูกหญ้าแฝกเฉลิมพระเกียรติฯ โดยมีแผนงานการปลูกหญ้าแฝกโดยสำนักทางหลวงและศูนย์สร้างทางในปีต่างๆดังนี้
               - ปี 2549 ประมาณ 2,800,000 กล้า
               - ปี 2550 ประมาณ 4,500,000 กล้า
โครงการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการ การปรับปรุงประสิทธิภาพระบบวิธีหญ้าแฝกในงานทางเพื่อความยั่งยืนและลดการบำรุงรักษา
 
  การปลูกหญ้าแฝกในงานทางมีความแตกต่างจากการปลูกในพื้นที่เกษตรกรรม ทั้งในความลาดชันของพื้นที่ และปริมาณแร่ 
 
             ธาตุอาหารที่จำเป็นแก่การเจริญเติบโตของพืช ยิ่งกว่านั้นในบางพื้นที่ หญ้าแฝกไม่เจริญเติบโตหรือตายไม่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ปลูกหลังการปลูก 1-2 ปี โดยจะถูกวัชพืชที่เป็นหญ้าท้องถิ่นซึ่งเจริญเติบโตได้ดีกว่าปกคลุม ทำให้มีความจำเป็นต้องทำการดูแลรักษากำจัดวัชพืช โครงการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการ การปรับปรุงประสิทธิภาพระบบวิธีหญ้าแฝกนี้ดำเนินการในทางหลวงหมายเลข 3272 ตอนบ้านไร่ – ต่อเขตควบคุมองค์การบริหารส่วนตำบลปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี (รูปที่ 1) กำหนดพื้นที่ปลูก แปลงทดลอง 7 แห่ง รวม 21 แปลงทดลอง ระยะเวลาดำเนินการโครงการฯ ปี 2547 – 2549 โดยได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิโครงการหลวง 3 ล้านบาท ทำการศึกษาวิจัย 3 ลักษณะ คือ
 
             - การศึกษาเปรียบเทียบ วิธีการบำรุงรักษาหลังการปลูก เพื่อหาวิธีการและค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษา
             - การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการปิดกั้นวัชพืชโดย พืชถั่ว Arachis Pinto เพื่อปรับปรุงรูปแบบการปลูกหญ้าแฝกให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเกิดความ
               ยั่งยืนคงอยู่ในพื้นที่ โดยการนำพืชที่เป็นประโยชน์และสามารถปลูกร่วมกับหญ้าแฝกได้ดีเช่น ถั่ว Pinto ซึ่งเป็นพืชที่มีลักษณะเจริญเติบโตเลื้อยแนบ
               ติดดินสามารถปิดกั้นวัชพืช มาปลูกระหว่างแถวหญ้าแฝก อันจะเป็นผลให้ลดค่าใช้จ่าย ในการบำรุงรักษาหลังการปลูก(กำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ย)
             - การศึกษาเปรียบเทียบหารูปแบบการปลูกถั่ว Arachis Pinto ที่เหมาะสม เพื่อหาระยะห่างระหว่างกล้าและแถวของการปลูกถั่ว Pinto ที่มีประสิทธิภาพ
               สูงสุด
 
           ดำเนินการจัดเก็บข้อมูล อัตราการเจริญเติบโต %การรอดตาย ค่าใช้จ่ายในการปลูก การบำรุงรักษา อัตราการปกคลุมพื้นที่โดย วัชพืชและการปกคลุมพื้นที่ปิดกั้นวัชพืชโดยถั่ว Pinto การปลูกหญ้าแฝกในงานทางให้ได้ผลดีมีความยั่งยืน
 
           จากการศึกษาพบว่า มีความจำเป็นต้องทำการปรับปรุงดิน โดยการรองก้นหลุมปลูกด้วยปุ๋ยมูลไก่หนาประมาณ 2 ซม.(0.6 กก.) หรือใช้ปุ๋ยคอกประมาณ 2 กก.ผสมปุ๋ยเคมีสูตร 15:15:15 หรือ 16:16:16 ประมาณ 60 กรัมต่อความยาวแถวร่องปลูก 1 เมตร กล้าแฝกที่ปลูกควรเป็นกล้าที่เพาะชำในถุงเพาะชำที่มีอายุประมาณ 45 – 60 วัน ช่วงระยะเวลาการปลูกที่เหมาะสมเป็นต้นฤดูฝนประมาณ เดือนพฤษภาคมและสำหรับภาคใต้ เดือนพฤศจิกายนสำหรับพื้นที่ฝั่งทะเลตะวันออกและมีนาคมสำหรับฝั่งทะเลอันดามัน รูปแบบการปลูกหญ้าแฝกปลูกระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 1 เมตร ระยะห่างระหว่างกอในแถว 10 ซม. กรณีปลูกในพื้นที่วิกฤต ลดระยะห่างระหว่างแถวลงเป็น 0.5 เมตร ต้องมีการบำรุงรักษาหลังการปลูก 1 – 2 ปี หญ้าแฝกสามารถแตกกอชิดติดกันภายในเวลาประมาณ 4 เดือน พืชถั่ว Pinto มีความเหมาะสมที่ปลูกร่วมกับหญ้าแฝก และมีประสิทธิภาพสามารถ ปิดกั้นวัชพืชได้โดยปกคลุมพื้นที่ประมาณ 25 – 30 % ภายในระยะเวลาประมาณ 4 เดือน และ 80 – 90 % ภายใน 1 ปี (รูปที่ 3) ทำให้ลดค่าใช้จ่ายความจำเป็นในการกำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ย รูปแบบการปลูกถั่ว Pinto ที่เหมาะสม คือ 10 X 10ซม. และ 25 X 25 ซม
 
             ผลจากการศึกษาจะนำมาปรับปรุง กำหนดอัตราราคาค่างาน รูปแบบการปลูกและปรับปรุงจัดทำแบบมาตรฐานการปลูกหญ้าแฝกสำหรับงานทางขึ้นใหม่ จัดทำคู่มือการปลูกหญ้าแฝกสำหรับงานทาง อันจะเป็นประโยชน์สำหรับกรมทางหลวง และส่วนราชการวิศวกรรมงานทางอื่นๆ

.

รูปที่ 1 การปลูกหญ้าแฝกป้องกันการชะล้างพังทลายและเพิ่มเสถียรภาพเชิงลาดทาง
ทางหลวงหมายเลข 3272 ตอน บ.ไร่ – ปิล๊อก (อ.ทองผาภูมิ) กม. 15+325 – 15+510


รูปที่2 การนำพืชตระกูลถั่ว Pinto ปลูกระหว่างแถวหญ้าแฝก
เพื่อปิดกั้นวัชพืช ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การรักษาและการอนุรักษ์ดิน

การรักษาและการอนุรักษ์ ดิน คือ เทหวัตถุธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก เป็นวัตถุที่ค้ำจุนการเจริญเติบโตและการทรงตัวของต้นไม้ ดินประกอบด้วยแร่ธาตุและอินทรียวัตถุต่างๆ และมีลักษณะชั้นแตกต่างกัน แต่ละชั้นที่อยู่ต่อเนื่องกันจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันตามขบวนการกำเนิดดิน การอนุรักษ์ดิน หมายถึง การใช้ประโยชน์จากดินอย่างชาญฉลาด ซึ่งจำเป็นจะต้องคำนึงถึงเรื่องดังต่อไปนี้ คือ ๑. ลดการกัดเซาะหรือป้องกันการพังทลายของดิน ๒. รักษาปริมาณธาตุอาหารในดินให้คงความอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ ๓. รักษาระดับอินทรียวัตถุ และคุณสมบัติของดินในทุกๆ ด้าน เพราะการปรับปรุงให้กลับคืนมาจากการสูญเสียไปนั้น จะต้องใช้เวลาอันยาวนาน และเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าการป้องกันโดยวิธีการอนุรักษ์เป็นอันมาก การรักษาและการอนุรักษ์ ดิน คือ เทหวัตถุธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก เป็นวัตถุที่ค้ำจุนการเจริญเติบโตและการทรงตัวของต้นไม้ ดินประกอบด้วยแร่ธาตุและอินทรียวัตถุต่างๆ และมีลักษณะชั้นแตกต่างกัน แต่ละชั้นที่อยู่ต่อเนื่องกันจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันตามขบวนการกำเนิดดิน การอนุรักษ์ดิน หมายถึง การใช้ประโยชน์จากดินอย่างชาญฉลาด ซึ่งจำเป็นจะต้องคำนึงถึงเรื่องดังต่อไปนี้ คือ ๑. ลดการกัดเซาะหรือป้องกันการพังทลายของดิน ๒. รักษาปริมาณธาตุอาหารในดินให้คงความอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ ๓. รักษาระดับอินทรียวัตถุ และคุณสมบัติของดินในทุกๆ ด้าน เพราะการปรับปรุงให้กลับคืนมาจากการสูญเสียไปนั้น จะต้องใช้เวลาอันยาวนาน และเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าการป้องกันโดยวิธีการอนุรักษ์เป็นอันมาก วิธีการรักษาหรือเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน วิธีการรักษาหรือเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินทำได้ดังนี้ ๑. เพิ่มอินทรียวัตถุ เศษเหลือจากพืช เช่น หญ้าแห้ง กิ่งไม้ใบไม้ และปุ๋ยพืชสด รวมทั้งเศษเหลือจากสัตว์ อินทรียวัตถุเหล่านี้จะไปช่วยทำให้คุณสมบัติทางฟิสิกส์ของดินดีขึ้น ทำให้ดินร่วนซุยสามารถดูดซับน้ำได้มากขึ้น ส่วนจุลินทรีย์ในดินจะช่วยให้อินทรียวัตถุต่างๆ เหล่านี้สลายตัวเป็นธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์แก่พืชต่อไป ๒. การเพิ่มปุ๋ยพืชสด โดยการไถพรวนพืชสดๆ ทับลงไปในดิน ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มแร่ธาตุจากพืชสดเพื่อเป็นอาหารแก่ดิน ๓. การใช้ซากและเศษเหลือจากสัตว์ ซึ่งประกอบด้วยธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ซัลเฟอร์ เป็นต้น อันจะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินให้ดีขึ้น ๔. การใช้ระบบการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อช่วยให้ดินคงความอุดมสมบูรณ์อยู่ได้ ๕. การใช้ปูนขาว เพื่อให้ธาตุแคลเซียมซึ่งเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อพืช และยังเป็นตัวช่วยลดความเป็นกรดและปรับปรุงคุณสมบัติอื่นๆ ของดินได้ดีอีกด้วย ๖. การรักษาธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ในดิน การรักษาธาตุไนโตรเจนในดิน ทำได้โดยการปลูกพืชตระกูลถั่วไว้คอยตรึงไนโตรเจนจากอากาศ และทำการไถพรวนเป็นปุ๋ยพืชสด อันจะช่วยเพิ่มไนโตรเจนให้แก่ดินได้อย่างดี ส่วนฟอสฟอรัส พืชมักจะใช้ในรูปของซูเปอร์ฟอสเฟต สำหรับโพแทสเซียมรักษาให้คงอยู่ได้ ด้วยการปลูกพืชให้ถูกต้องตามหลักการอนุรักษ์ เพื่อป้องกันการชะล้าง และควรใช้ปุ๋ยที่ให้โพแทสเซียมโดยตรง การจัดการทรัพยากรที่ดิน การจัดการทรัพยากรที่ดินให้เหมาะสมเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ยั่งยืนต่อไป ได้แก่ ๑. วางแผนการใช้ที่ดินให้เหมาะสมกับสมรรถนะของที่ดิน สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสภาวะแวดล้อม เพื่อควบคุมและแก้ไขปัญหาการใช้ที่ดินให้เป็นไปอย่างประหยัด โดยให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยพื้นที่สูงสุด และสามารถรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินให้ตลอดไป ๒. ศึกษาการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจกรรมต่างๆ และจัดทำแผนที่แสดงขอบเขตการใช้ที่ดินประเภทต่างๆ ในระดับจังหวัดทั่วประเทศ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมตามหลักวิชาการ เช่น เขตอุตสาหกรรม เขตเกษตรกรรม เขตชุมชนเมือง และเขตสถานที่ราชการ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมและควบคุมการใช้ที่ดินแต่ละประเภทให้สอดคล้องกับการกำหนดเขต โดยเฉพาะจะช่วยให้การคุ้มครองพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเกษตรกรรมไว้เป็นแหล่งผลิตที่ถาวรของประเทศตลอดไป และเท่ากับเป็นการป้องกันมิให้มีการนำที่ดินไปใช้อย่างผิดประเภท อันจะช่วยให้การใช้ที่ดินของประเทศโดยส่วนรวมเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม ตลอดจนจะช่วยรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมไว้ด้วย ๓. ดำเนินการอนุรักษ์ดินและน้ำโดยเฉพาะในพื้นที่สูง หรือพื้นที่ที่มีความลาดชันให้เป็นไปตามหลักวิชาการ ตลอดจนสงวนและคุ้มครองบำรุงรักษาที่ดินที่เหมาะสมทางการเกษตรให้คงความอุดมสมบูรณ์ตลอดไป (ดูเรื่องการอนุรักษ์ดิน)

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความสำคัญของสัตว์ป่า

ความสำคัญของสัตว์ป่า 1. ด้านเศรษฐกิจ การค้าสัตว์ป่าหรือซากของสัตว์ป่า โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับป่า ในปีหนึ่ง ๆ ทำรายได้ให้กับประเทศและมีเงินทุนหมุนเวียนภายในประเทศจำนวนไม่น้อย คุณค่าทางด้านเศรษฐกิจอาจจะรวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวในการชมสัตว์ด้วย 2. ด้านนันทนาการและจิตใจ ความงามเป็น สิ่งที่มนุษย์ปรารถนา ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าตนเองไม่ชอบความงาม แม้ว่าเราอาจมีความเห็นไม่ตรงกันในความหมายของความงาม แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ ทุกคนมีความเห็นตรงกันในเรื่องความน่าเกลียดของธรรมชาติที่ถูกทำลาย ทัศนียภาพที่สวยงาม ตามธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราสามารถช่วยกันอนุรักษ์ไว้ได้ถ้าไม่มีผู้ที่คิดเห็นแก่ตัวจนเกินไป เราอาจตกแต่งบ้านให้สวยงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง บางบ้านมีเขากวาง หัวสัตว์ป่าประดับอยู่ตามฝาผนัง บางบ้านมีหนังเสือโคร่งปูประดับห้องรับแขก บางบ้านก็สะสมสัตว์สตาฟ จริงอยู่ที่สิ่งเหล่านี้เพิ่มความงามในแง่ของมัณฑนศิลป์แต่ก็ไม่ใช่ความงามตามธรรมชาติ หลายคนอาจคิดว่าตนเองสามารถมีชีวิตอยู่ในเมือง ทั้งต้นตระกูลปู่ย่าพ่อแม่ของตนเองก็เจริญเติบโตทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่ในเมือง แต่ถ้าคิดให้ดีแล้วมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีชีวิตอยู่ในป่ากลมกลืนกับธรรมชาติ ปัจจุบันเราได้พยายามแยกตัวเองออกจากธรรมชาติซึ่งถ้าดูกันแบผิวเผินก็ดูเหมือนว่าเราทำได้สำเร็จ เราสร้างเมืองสร้างบ้านสร้างสถานที่พักผ่อนหย่อนใจได้ เราเปลี่ยนระบบนิเวศของเมืองให้เป็น Artificial ecosystem แต่ธรรมชาติก็ยังสามารถรบกวนทั้งตัวเราและสิ่งก่อสร้างของเรา ในวันสุดสัปดาห์ถ้ามีเวลาและโอกาสเราก็จะไปชายทะเล ไปเขาใหญ่ ไปดูน้ำตก เหล่านี้เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าคนเรายังมีความต้องการที่จะสัมผัสสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติของป่ามีต้นไม้สีเขียวขจีแต่ขาดสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ก็คงไม่ใช่ธรรมชาติที่สมบูรณ์ คุณค่าของความงามตามธรรมชาติรวมทั้งสัตว์ป่าเราเรียกว่า Aesthetic value 3. ด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษา และการแพทย์ สัตว์ป่าไม่ใช่มีแต่คุณค่าในแง่ ธรรมชาติเท่านั้น สวัสดิภาพของมนุษย์ในปัจจุบันขึ้นอยู่กับสัตว์ป่าหลายชนิด วัคซีนที่เราใช้ฉีด ป้องกันโรคต่าง ๆ ได้มาจากลิงริซัส คุณค่าสัตว์ป่าในแง่นี้เรียกว่า Prectical values สัตว์ป่าหลายชนิดกินแมลงที่นำโรคมาสู่คน สัตว์ป่าช่วยให้ชุมชน (Community) มั่นคงมีเสถียรภาพเพราะเป็นส่วนที่ ทำให้เกิดความหลายหลายชนิด (Diversity) แต่ละชนิดทั้งสัตว์และพืชทำให้ Niche ของชุมชน เต็มช่วยให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่ติดตามมาคือ เสถียรภาพของที่ดินและแหล่งต้นน้ำ การอนุรักษ์สัตว์ป่าจึงเป็นการประกันความมั่นคงของชุมชนรวมทั้งชีวิตมนุษย์ด้วย 4. ด้านอาหารและยา มนุษย์ได้ใช้เนื้อของสัตว์ป่าเป็นอาหารมาเป็นเวลาช้านานแล้วซึ่งสัตว์ป่าหลายชนิดก็ได้พัฒนาจนกระทั่งกลายเป็นสัตว์เลี้ยงไป สัตว์ป่าหลายชนิดตามธรรมชาติคนก็ยังนิยมใช้เนื้อเป็นอาหารอยู่ เช่น หมูป่า เก้ง กวาง กระจง กระทิง นกเขาเปล้า นกเป็ดน้ำ ตะกวด แย้ เป็นต้น อวัยวะของสัตว์ป่าบางอย่าง เช่น นอแรด กระโหลกเลียงผา เขากวางอ่อน เลือดและกระเพาะค่าง ดีของหมี ดีงูเห่า ก็ยังมีผู้นิยมดัดแปลงเป็นอาหาร หรือใช้เป็นเครื่องยาสมุนไพรอีกด้วย 5. ด้านเครื่องใช้ประดับ นอกจากเนื้อของสัตว์ป่าและส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ป่าจะใช้เป็นอาหารและยาแล้ว อวัยวะบางอย่างของสัตว์ป่าก็ยังใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้อีกมากมาย เช่น หนังใช้ทำกระเป๋า รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม งาช้าง ใช้เป็นเครื่องประดับ กระดูก เขาสัตว์ใช้ทำด้ามมีด ด้ามเครื่องมือ หรือแกะสลักเป็นรูปต่าง ๆ เป็นต้น 6. เป็นตัวควบคุมสิ่งมีชีวิต สัตว์ป่านับได้ว่า เป็นตัวควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสัตว์ด้วยกันเอง ทำให้ผลกระทบที่เกิดต่อคนบรรเทาเบาบางลงไปไม่มากก็น้อย เช่น ค้างคาว กินแมลง นกฮูกและงูสิงกินหนูต่าง ๆ นกกินตัวหนอนที่ทำลายพืชเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งหากไม่มีสัตว์ป่าต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วคนอาจจะต้องเสียเงินทองจำนวนมากกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันเพื่อการกำจัดศัตรูทั้งทางตรงและทางอ้อม 7. คุณค่าของสัตว์ป่าต่อทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ คนส่วนใหญ่มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้ เป็นต้นว่า ป่าไม้ทำให้สัตว์ป่ามีที่อยู่อาศัย เป็นอาหาร และเป็นที่หลบภัย ป่าไม้ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ป้องกันการกัดเซาะ ของน้ำ ลม ป่าไม้ช่วยทำให้น้ำไหลตลอดปี น้ำใสสะอาดปราศจากตะกอน ป่าไม้ช่วยทำให้ฝนตก บรรเทากระแสลมพายุ ป่าไม้ทำให้อากาศไม่ร้อนไม่หนาว ป่าไม้เป็นแหล่งสะสมแร่ธาตุ ขาดป่าไม้ทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ก็อยู่ไม่ได้ ทำนองเดียวกันทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ที่คนจะมองเห็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดังรายละเอียดที่ได้ศึกษามาแล้ว ทั้งนี้ยกเว้นสัตว์ป่า คนเรามักจะมองเห็นว่า ต้องอาศัยทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว สัตว์ป่าก็มีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ไม่น้อยเช่นเดียวกัน เช่น - ช่วยทำลายศัตรูป่าไม้ - ช่วยผสมเกสรดอกไม้ - ช่วยในการกระจายเมล็ดพันธุ์ไม้ - ช่วยทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สาเหตุและผลกระทบปัญหาทรัพยากรสัตว์ป่า ในระยะสิบปีที่ผ่านมา สัตว์ป่าเป็นที่กล่าวถึงกันมากในแวดวงของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปัจจุบันสัตว์ป่าอยู่ในฐานะลำบากเช่นเดียวกันกับป่าไม้ หลายชนิดสูญพันธุ์ไปโดยที่มนุษย์ไม่รู้ น้อยคนนักที่คิดว่าสัตว์ป่าเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดความหลากหลายชนิดของสิ่งมีชีวิต ซึ่งนำไปสู่การอยู่ร่วมกันแบบสมดุลโดยธรรมชาติ น้อยคนที่คิดว่าสัตว์ป่าเป็นสมบัติของทุกคน คนส่วนมากคิดว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของสัตว์ป่า การล่าทำลายเพื่อความสนุกเพลิดเพลินจึงเป็นเรื่องธรรมดาของผู้มีอันจะกิน ผู้มีรายได้น้อยก็ล่าสัตว์ป่าเพื่อบริโภคและส่งตลาดเพื่อขายผู้มีรายได้มาก การตัดไม้ทำลายป่าและการขยายตัวของเมืองก็มีส่วนอย่างมากที่ช่วยทำลายที่อยู่อาศัยและที่หลยศัตรูของสัตว์ป่า ปกติการเป็นเจ้าของสัตว์ป่าเป็นที่เข้าใจกันว่าขึ้นอยู่กับการเป็นเจ้าของที่ดิน ผู้ใดมีที่ดินที่มีสัตว์ป่าอยู่ก็ถือว่าเป็นเจ้าของสัตว์ป่านั้น การล่าสัตว์เจ้าของจึงมักถือว่าเป็นสิทธิของตน ความเข้าใจผิดนี้มีมานานแล้ว ประเทศอังกฤษในมัยก่อนพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของสัตว์ป่า ความคิดนี้ตกทอดไปยังผู้บุกเบิกยุคแรกในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งอีกหลายประเทศที่ค้าขายหรือเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ในสหรัฐอเมริกากว่าจะแก้ไขกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย สัตว์ป่าหลายชนิดก็มีชื่ออยู่เพียงในหนังสือ อีกหลายชนิดก็เหลือในรูปของสัตว์สตาฟหรือรูปเขียนหรือรูปปั้นในพิพธภัณฑ์ ที่เป็นไปได้ในประเทศที่กำลังพัฒนาสัตว์ป่าหลายชนิดสูญพันธุ์ไปโดยไม่มีทั้งชื่อและซากไว้หนังสือและพิพิธภัณฑ์ สาเหตุที่ทำให้สัตว์ป่าสูญพันธุ์ มีดังนี้ 1. ถูกจำกัดที่อยู่อาศัย ข้อนี้เป็นสาเหตุที่ร้ายแรงมาก กองอนุรักษ์คุ้มครองสัตว์ป่าของไทยยอมรับว่าเป็นเหตุให้สัตว์ป่าต้องตายสาปสูญด้วยอัตราที่รวดเร็วน่าตกใจ สัตว์หลายชนิดต้องการที่อยู่อาศัยเฉพาะในระยะหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงแทนที่ (Succession) ถ้าการเปลี่ยนแปลงแทนที่เลยไปถึงระยะที่เป็นป่าทึบแล้วสัตว์กินหญ้าก็อยู่อาศัยที่นั้นไม่ได้ 2. ชีวศักยภาพต่ำ สัตว์หลายชนิดโดยเฉพาะนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีศักยภาพการขยายพันธุ์ต่ำ นกแคลฟอร์เนียคอนดอร์วางไข่ปีเว้นปีและออกไข่ครั้งละ 1 ฟองเท่านั้น ปัจจุบันมีนกชนิดนี้เหลืออยู่ประมาณ 40 ตัวในโลกซึ่งประมาณ 20 ตัวเป็นตัวเมีย 3. ความต้องการอาหารเฉพาะ สัตว์บางชนิดกินอาหารเฉพาะบางอย่างเท่านั้นจะว่าเลือกกินก็ไม่ใช่ นกฟลอริดาเอเวอร์เกลดไค้ท์ กินหอยเพียงชนิดเดียว เท่านั้น 4. การถูกกลืนทางพันธุกรรม สัตว์บางชนิดผสมพันธุ์กันได้แม้ว่าจะต่างชนิดกัน ถ้าชนิดหนึ่งมีจำนวนมากและอีกชนิดหนึ่งมีจำนวนน้อย โอกาสที่ยีน ของพวกน้อยจะไปรวมอยู่ในยีนพูลของพวกมากก็เป็นไปได้มาก ตัวอย่างในเรื่องนี้ได้แก่ สุนัขคอยโยท ซึ่งสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงโดยมนุษย์ได้ดี 5. การค้าสัตว์เลี้ยง ร้านค้าสัตว์เลี้ยงเป็นที่ดึงดูดใจของเด็กและผู้ใหญ่เกือบทุกวัย จะเห็นได้จากส่วนหนึ่งของตลอดนัดวันสุดสัปดาห์ที่สวนจตุจักรซึ่งขายตั้งแต่ปลากันไปจนถึงนกและลิงชนิดอื่น ๆ 6. การนำสัตว์จากประเทศอื่นเข้ามาเลี้ยง การนำสัตว์จากประเทศอื่นเข้ามาโดยมุ่งผลประโยชน์ระยะสั้นอาจมีผลกระทบกับสัตว์พื้นเมืองในระยะยาว 7. การล่าสัตว์ คนเราล่าสัตว์ด้วยเหตุผลต่างกันไป ล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารและเครื่องนุ่งห่มเพื่อป้องกันธัญพืชและสัตว์เลี้ยง 8. การใช้ยากำจัดศัตรูพืช สารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นใช้กำจัดศัตรูพืชเพื่อเพิ่มผลผลิตมักมีผล ตกค้างถ้าพิจารณาตามลูกโซ่อาหารความเข้ข้มของสารเคมีเหล่านี้เพิ่มขึ้นตามลำดับลูกโซ่อาหารที่สูงขึ้น 9. พฤติกรรมสัตว์ที่เปลี่ยนยาก สัตว์หลายชนิดไม่เปลี่ยนพฤติกรรมเดิม ทั้งที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถปรับตัวให้อยู่ในระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นเหตุให้สูญพันธุ์